การใช้ Support และ Resistance ในการเทรด Forex อย่างละเอียด

By Admins Updated 8 November 2024

การใช้ Support และ Resistance ในการเทรด Forex อย่างละเอียด

ในการเทรด Forex การวิเคราะห์แนวรับ (Support) และแนวต้าน (Resistance) เป็นเทคนิคพื้นฐานที่สำคัญมาก เพราะแนวรับและแนวต้านสามารถช่วยให้เราคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาในอนาคตได้ ทำให้สามารถตัดสินใจเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

1. แนวรับ (Support) และแนวต้าน (Resistance) คืออะไร?

  • แนวรับ (Support): เป็นระดับราคาที่ต่ำสุดที่มักจะหยุดการเคลื่อนไหวลงของราคา หากราคาไปถึงแนวรับนี้แล้วไม่ได้ทะลุลงไป เรามักจะเห็นการดีดตัวกลับขึ้นของราคา ซึ่งหมายความว่าตลาดมีแรงซื้อเข้ามาช่วยหนุนราคาไม่ให้ลดลงไปต่ำกว่านี้
  • แนวต้าน (Resistance): เป็นระดับราคาสูงสุดที่มักจะหยุดการเคลื่อนไหวขึ้นของราคา หากราคาไปถึงแนวต้านและไม่สามารถทะลุขึ้นไปได้ จะมีโอกาสที่ราคาจะย่อลงมา เพราะตลาดมีแรงขายเข้ามากดดันไม่ให้ราคาขึ้นไปต่อ

2. การหาแนวรับและแนวต้าน

การหาแนวรับและแนวต้านทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับเครื่องมือและกลยุทธ์ของนักเทรด ตัวอย่างเช่น:

  • การดูจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดก่อนหน้า: ใช้การดูกราฟเพื่อหาแนวรับและแนวต้านที่ชัดเจน โดยจุดสูงสุดก่อนหน้าอาจเป็นแนวต้าน และจุดต่ำสุดก่อนหน้าอาจเป็นแนวรับ
  • เครื่องมือ Fibonacci Retracement: เป็นการหาระดับแนวรับและแนวต้านที่มีความน่าเชื่อถือในทฤษฎี Fibonacci ซึ่งสามารถช่วยให้เราหาจุดที่ราคาจะกลับตัวได้
  • เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages): การใช้เส้นค่าเฉลี่ย เช่น SMA หรือ EMA ในการหาแนวรับและแนวต้าน โดยเส้นค่าเฉลี่ยมักจะเป็นแนวรับหรือต้านสำคัญเมื่อราคาเข้าใกล้

3. ตัวอย่างการใช้แนวรับและแนวต้านในการเทรด

สถานการณ์: สมมติว่าคุณกำลังดูกราฟคู่สกุลเงิน EUR/USD และพบว่า ณ ราคา 1.2000 ราคามักดีดตัวกลับขึ้นเมื่อแตะระดับนี้ เราจึงถือว่าระดับ 1.2000 เป็นแนวรับ และถ้าราคาขึ้นไปแตะที่ 1.2200 หลายครั้งแต่ไม่สามารถทะลุได้ เราจะถือว่าระดับนี้เป็นแนวต้าน

  1. การเปิดตำแหน่ง Long เมื่อถึงแนวรับ:

    • เมื่อราคาลดลงมาใกล้แนวรับที่ 1.2000 และแสดงสัญญาณการกลับตัว คุณสามารถเปิดตำแหน่ง Long (Buy) โดยตั้งจุดหยุดขาดทุน (Stop Loss) ใต้ระดับแนวรับเล็กน้อย เช่นที่ 1.1950 เพื่อป้องกันการขาดทุนหากราคาทะลุลงไป
  2. การเปิดตำแหน่ง Short เมื่อถึงแนวต้าน:

    • หากราคาขึ้นมาที่ 1.2200 ซึ่งเป็นแนวต้านที่แข็งแรง คุณสามารถเปิดตำแหน่ง Short (Sell) และตั้งจุดหยุดขาดทุนไว้เหนือระดับแนวต้าน เช่นที่ 1.2250 ในกรณีที่ราคาทะลุแนวต้านขึ้นไป

4. เทคนิคเพิ่มเติมในการใช้แนวรับและแนวต้าน

  • การใช้กรอบเวลา (Time Frame): แนวรับและแนวต้านในกรอบเวลาที่ใหญ่ เช่น กราฟรายวันหรือรายสัปดาห์ มักจะมีความน่าเชื่อถือมากกว่าในกรอบเวลาที่เล็ก เพราะแนวรับและแนวต้านในกรอบเวลาที่ใหญ่เป็นสัญญาณของแรงซื้อแรงขายที่มีความสำคัญสูง
  • การพิจารณา Fake Breakout: บางครั้งราคาจะทะลุแนวรับหรือแนวต้านแต่ไม่สามารถไปต่อได้ เรียกว่า Fake Breakout หรือการทะลุหลอก การระวังในสถานการณ์นี้เป็นสิ่งสำคัญเพราะอาจทำให้คุณเข้าสถานะผิดทิศทาง

5. ตัวอย่างการใช้ Support และ Resistance ในสถานการณ์จริง

สถานการณ์สมมติ: คุณเห็นราคาคู่สกุลเงิน GBP/USD อยู่ในกรอบแนวรับที่ 1.3000 และแนวต้านที่ 1.3200 มาสักระยะ คุณสามารถเทรดตามกรอบนี้โดย:

  • การเข้า Long เมื่อราคาเข้าใกล้แนวรับ: หากราคาลดลงมาที่ใกล้ 1.3000 คุณสามารถเปิดสถานะ Long โดยตั้งเป้าหมายที่ระดับแนวต้าน 1.3200
  • การเข้า Short เมื่อราคาเข้าใกล้แนวต้าน: หากราคาขึ้นมาที่ใกล้ 1.3200 คุณสามารถเปิดสถานะ Short โดยตั้งเป้าหมายที่แนวรับ 1.3000

6. ข้อควรระวังในการใช้แนวรับและแนวต้าน

  • อย่าคาดหวังว่าราคาจะเคารพทุกแนวรับและแนวต้าน: ราคาสามารถทะลุได้ทุกเมื่อ แนวรับและแนวต้านเป็นเพียงแนวโน้มที่ราคามีโอกาสสูงที่จะเคลื่อนไหวตาม แต่ไม่ใช่การการันตี
  • การใช้ร่วมกับอินดิเคเตอร์อื่น: การใช้แนวรับและแนวต้านเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ การใช้ร่วมกับอินดิเคเตอร์อื่นๆ เช่น MACD, RSI หรือการวิเคราะห์เชิงแท่งเทียน จะช่วยเพิ่มความแม่นยำให้กับการเทรด

สรุป

แนวรับและแนวต้านเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการเทรด Forex เนื่องจากช่วยให้เรามองเห็นจุดที่มีโอกาสกลับตัวของราคา ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและลดความเสี่ยงในการขาดทุน หากคุณฝึกฝนการใช้แนวรับและแนวต้านอย่างต่อเนื่อง คุณจะสามารถเข้าใจพฤติกรรมของตลาดได้ดีขึ้น